How to Drip Coffee

กาแฟดริป(Drip Coffee) เป็นอีกรูปแบบของการชงกาแฟที่พิถีพิถันในขั้นตอนการสกัด เป็นการสร้างเสน่ห์ในการชงและรสชาติของกาแฟจนเกิดเป็นกระแสนิยมอยู่ในปัจจุบัน

การดริปกาแฟ เป็นการอาศัยการไหลผ่านของน้ำร้อนผ่านผงกาแฟคั่วลงสู่ด้านล่างของภาชนะที่รองรับน้ำกาแฟ  โดยอาศัยการกั้นไม่ให้ผงของกาแฟไหลรวมกับน้ำกาแฟด้วยตัวกรองซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตได้ออกแบบกระดาษกรองรูปกรวยขนาดพอดีกับดริปเปอร์พร้อมใช้จำหน่ายอย่างกว้างขวาง 



น้ำร้อนที่ไหลผ่านอย่างช้าๆด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมโดยไม่ใช้แรงดันในการสกัด  เมื่อไหลผ่านผงกาแฟที่บดหยาบเป็นการสกัดเอาสารที่ให้รสชาติออกมาจากกาแฟ มาติดตามขั้นตอนการชงกาแฟดริปกัน

อุปกรณ์สำหรับการชงกาแฟดริป
1.      Dripper หรือ อุปกรณ์ดริปกาแฟ
2.     Drip Kettle หรือ กาดริปกาแฟ
3.     Timer หรือ ที่จับเวลา
4.     Coffee Grinder หรือ เครื่องบดกาแฟ  
       อีกวิธี คือ บดมาจากร้านที่ซื้อเมล็ดกาแฟเลย 
5.     ตราชั่งหรืออุปกรณ์ตวงอื่นๆ
6.     ช้อนสำหรับคน 



ขั้นตอนการดริปกาแฟ

ขั้นตอนที่ 1
-     การจัดสัดส่วนของกาแฟต่อปริมาณน้ำ (Brewing Ratio) ขึ้นอยู่กับ สายพันธ์และกระบวนการผลิตซึ่งผู้ผลิตจะทดสอบและกำหนดอัตราส่วนไว้ เช่น กาแฟ  1 กรัม ต่อน้ำ 12 กรัม หรือ อาจเป็นไปตามรสชาติที่ต้องการ อาทิ ลดปริมาณน้ำลงเมื่อต้องการรสชาติที่เข้มข้นและเพิ่มปริมาณน้ำเมื่อต้องการรสชาติที่อ่อนละมุน 
-     การต้มน้ำสำหรับดริปกาแฟมีผลต่อรสชาติกาแฟ ควบคุมด้วยที่จับเวลา(Timer) เช่น ที่ 92-95 องศา เหมาะสำหรับกาแฟคั่วอ่อน และ 85-89 องศา สำหรับกาแฟคั่วเข้ม เป็นต้น

ขั้นตอนที่ 2
       ขนาดของกาแฟที่ได้จากการบดมีผลต่อรสชาติ  ในการสกัดแม้ว่าผงกาแฟบดขนาดเล็กจะถึงจุดอิ่มตัวได้ไวกว่าผงกาแฟที่มีขนาดใหญ่ แต่ที่จริงแล้วกาแฟต้องการเพียงระยะเวลาช่วงหนึ่งเท่านั้นที่จะสกัดได้อย่างเต็มที 
แต่ถ้าขนาดของผงกาแฟที่เท่ากันสิ่งที่จะมีผลต่อรสชาติลำดับต่อไปก็คือ เรื่องของเวลา
-     การบดกาแฟด้วยเครื่องบดกาแฟ (Coffee Grinder) ควรบดขนาดประมาณเมล็ดน้ำตาลทราบหยาบ เพราะระดับความละเอียดจะมีผลต่อรสชาติ หากไม่มีเครื่องบดสามารถใช้บริการเครื่องบดจากร้านที่ซื้อเมล็ดกาแฟได้

ขั้นตอนที่ 3
    - การเตรียมกระดาษกรอง โดยการพับขอบกระดาษทรงกรวย แล้วพับปลายมุม
กระดาษย้อนกลับอีกด้านเป็นมุมสามเหลี่ยม จากนั้นรีดกระดาษเบาๆก่อนคลาย
ตัวออกให้รับกับทรงของดริปเปอร์
-     ล้างกระดาษกรองด้วยการนำน้ำต้มเทวนรอบกระดาษเพื่อล้างกลิ่นกระดาษและเป็นการอุ่นดริปเปอร์กับโถรองรองกาแฟไปในคราวเดียว  เมื่อน้ำไหลลงโถด้านล่างหมดให้เทน้ำทิ้ง

ขั้นตอนที่ 4
-     เตรียมกาแฟ โดยนำดริปเปอร์วางบนโถกรองน้ำกาแฟ จากนั้นนำดริปเปอร์และโถกาแฟไปวางบนตาชั่งแล้วเทผงกาแฟที่บดลงไปตามปริมาณที่ต้องการพร้อมปรับผิวกาแฟเป็นระนาบเดียว


ขั้นตอนที่ 5 การสกัดกาแฟ (Coffee Extraction)
การสกัดกาแฟได้ดีจะทำให้มีรสชาติของกาแฟออกมามาก แสดงว่า สามารถสกัดสิ่งที่อยู่ในกาแฟออกมาได้มาก เวลาที่น้ำอยู่กับกาแฟจึงเป็นตัวบ่งชี้ถึงปริมาณการสกัด
-     เทน้ำรอบแรก หรือ บลูม(Bloom) โดยให้กดตาชั่งที่ 0 อีกครั้ง เทน้ำรอบแรก 2 เท่าของกาแฟ ให้น้ำสัมผัสกาแฟทุกส่วน ประมาณ 20-30 วินาที

ขั้นตอนที่ 6
เวลาในการสกัดที่มากไม่ได้หมายความว่าเราจะได้รสชาติของกาแฟที่ดีเยี่ยม  เพราะ กาแฟต้องการระยะเวลาที่เหมาะสมในระดับหนึ่งแล้วก็จะถึงจุดอิ่มตัว จึงควรพิจารณารายละเอียดที่ผู้ผลิตบ่งชี้ไว้ที่บรรณจุภัณฑ์
-     วนน้ำที่เหลือลงบนกาแฟ  ให้วนน้ำที่เหลือลงช้าๆให้โดนผงกาแฟโดยตรงอย่างสม่ำเสมอตลอดการชงกาแฟ  ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 3-3½ นาที

ขั้นตอนที่ 7
-     ปรับรสดชาติตามชอบ เมื่อน้ำกาแฟไหลลงโถด้านล่างหมดยกดริปเปอร์ด้านบนออกใช้ช้อนคนหรือเหวี่ยงน้ำกาแฟในโถ ตอนนี้จะได้กลิ่นหอมๆของกาแฟ ก่อนดื่มให้พักกาแฟให้อุณหภูมิลงสักนิด  จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการดื่มที่แสนฟินแล้วหละ

ขอขอบพระคุณ
-     รองศาสตราจารย์ ดร.วันเพ็ญ จิตรเจริญ หัวหน้าโครงการวิจัยการพัฒนาศักยภาพธุรกิจกาแฟพิเศษแบบครบวงจร ในเขตภาคเหนือตอนบนเพื่อมุ่งสู่มาตรฐานส่งออกตามโมเดลทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด ผู้ให้ข้อมูลกาแฟพิเศษ Brave กาแฟพิเศษที่ได้รับการพัฒนาด้านนวัตกรรมการผลิตจากโครงการวิจัยที่ผ่านมา
-     อาจารย์สุรีวัลย์ ชุ่มแก้ว อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร สาขา สัตวศาสตร์และประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลำปาง ผู้สาธิตการดริปกาแฟ

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น